พงศาวดารเมืองน่านเล่าว่า ปลายพุทธศตวรรษที่ 18 พญาพูคาได้ครอบครองพื้นที่ราบตอนบน อยู่ที่เมืองย่าง (ปัจจุบันคือพื้นที่ ต.ยม อ.ท่าวังผา จ.น่าน) วันหนึ่งพญาพูคาได้ทรงรับเลี้ยงโอรสบุญธรรม ให้นามโอรสว่า “ขุนนุ่น” และ “ขุนฟอง” เมื่อโอรสทั้งสองเจริญพระชันษาเป็นบุรุษ จึงมีพระประสงค์จะครองบ้านเมือง พญาพูคา จึงโปรดให้ไปหาพญาเถรแต๋ง เจ้าฤๅษีที่ดอยติ้ว ดอยวาว (ปัจจุบันอยู่ในเขต อ.สองแคว จ.น่าน) เพื่อขอพระกรุณาโปรดสร้างเมืองให้ พญาเถรแต๋งพาไปสถานที่แห่งหนึ่งทางทิศตะวันออกของแม่น้ำโขง ใช้ไม้เท้าแบ่งเขตแดนแล้วให้ชื่อเมืองว่า “จันทบุรี” โปรดให้ขุนนุ่นเป็นกษัตริย์ปกค รอง (ปัจจุบันคือเมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) ส่วนทางทิศตะวันออกฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง พญาเถรแต๋งใช้ไม้เท้า แบ่งเขตแดนและให้ชื่อเมืองว่า “วรนคร (เมืองปัว)” แล้วโปรดให้ขุนฟอง เป็นกษัตริย์ปกครอง (สันนิษฐานว่าเป็นบริเวณที่ราบแถบ ต.ศิลาเพชร อ.ปัว จ.น่าน) ขุนฟองจึงถือเป็น กษัตริย์น่านองค์ที่ 1
หลังจากนั้นราวพ.ศ. 1896 สมัยของพญาครานเมือง กษัตริย์น่านองค์ที่ 5 ได้สร้างพระธาตุแช่แห้ง ณ ดอยภูเพียงแช่แห้ง เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุพระพิมพ์เงินและพระพิมพ์ทอง ที่ได้รับพระราชทานมาจากเจ้าเมืองสุโขทัยแล้วย้ายราชธานีมาสร้างเวียงใหม่ ทางทิศใต้ของวรนครใกล้กับ พระธาตุแช่แห้งเรียกว่า “เวียงพูเพียงแช่แห้ง”
พ.ศ. 1906 สมัยของพญาผากอง กษัตริย์น่านองค์ที่ 6 โอรสใน พญาครานเมืองเวียงพูเพียงแช่แห้งประสบปัญหาความแห้งแล้งอย่างหนัก พญาผากองทรงพระสุบินว่า มีโคอุศุภราชวิ่งข้ามแม่น้ำน่านมายังฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นที่ราบกว้างใหญ่ แล้วถ่ายมูลไว้เป็นแนวหลักหมายเขตกำแพงเมือง เมื่อพระองค์เสด็จ ณ ที่แห่งนั้นก็ทอดพระเนตรเห็นจริงตามพระสุบินทุกประการ จึงทรงอพยพพลเมืองข้ามฝั่งแม่น้ำน่านมาสร้างราชธานีใหม่ที่ห้วยไคร้ (เขตเวียงใต้ของตัวเมืองน่านในปัจจุบัน)
ใน พ.ศ. 1911 และตั้งชื่อเมืองว่า “นันทบุรี” เพราะมีชีปะขาวชื่อ “นันทะ” อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ต่อมาชาวบ้านเรียกเมืองนี้ว่า “เมืองน่าน” ตราบจนปัจจุบัน เพราะเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำน่าน ขึ้นต่ออาณาจักรล้านนาและพม่า
พระเจ้าติโลกราช ยกทัพจากเชียงใหม่มาตีเมืองน่านในพ.ศ. 1993 สมัยของ พญาอินต๊ะแก่นท้าว กษัตริย์น่านองค์ที่ 15 เมืองน่านจึงถูกผนวกเข้ากับเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนามีฐานะเป็นเพียงหัวเมืองหนึ่งโดยมีเจ้าเมืองที่ได้รับแต่งตั้งผลัดเปลี่ยนกันปกครองเมืองเรื่อยมา
จนกระทั่งพระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์แห่งกรุงหงสาวดี (พม่า) ตีเมืองเชียงใหม่ได้เมืองน่านจึงตกเป็นเมืองประเทศราชของพม่าร่วม 200 ปี
ราวพ.ศ. 2232 เมืองน่านถูกทิ้งร้างนาน 5 ปีเนื่องจากพระเมืองราชาเจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 47 ได้คิดคบกับลาวแสนแก้วแข็งเมืองต่อพม่าพระเจ้ากรุงอังวะจึงได้ยกทัพมาปราบและเผาบ้านเมืองจนเสียหายอย่างหนักผู้คนล้มตายบางส่วนหลบหนีเข้าป่าจากนั้นอีก 1 ปีพวกลาวและแกว (ญวน) ก็เข้ามารุกรานเมืองน่านกวาดต้อนเอาชาวเมืองที่เหลือไปไว้เมืองลาวเมืองน่านจึงถูกทิ้งร้างเป็นครั้งแรก
พ.ศ. 2314 พญามโนเจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 54 ได้ส่งเจ้าน้อยวิทูรเข้าช่วยราชการศึกร่วมกับกองทัพหัวเมืองล้านนา นำโดยพญาจ่าบ้านและเจ้ากาวิละเข้าสวามิภักดิ์ต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จนสามารถขับไล่พม่าออกจากเมืองเชียงใหม่ได้ และเมืองน่านก็ถูกทิ้งร้างอีกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อพ.ศ. 2321 ในสมัยของพญาวิทูร เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 55 เนื่องจากถูกจับตัวไปยังกรุงศรีอยุธยาเพราะไม่จงรักภักดีน่านจึงขาดผู้นำกองทัพพม่าซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเชียงแสนจึงเข้ามารุกรานเมืองน่านและกวาดต้อนเอาชาวเมืองน่านไปไว้ที่เชียงแสนเมืองน่าน จึงถูกทิ้งร้างนาน 23 ปี สวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์จักรี
ครั้นเมื่อพ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นราชธานีและปราบดาภิเษกขึ้นเป็นรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรีเจ้าฟ้าอัทธวรปัญโญ (ขณะนั้นรั้งเมืองอยู่ที่เมืองเทิงปัจจุบันคืออ.เทิงจ.เชียงราย) จึงเข้าเฝ้าฯเพื่อทูลสวามิภักดิ์เป็นข้าขอบขัณฑสีมาในพ.ศ. 2331 รัชกาลที่ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เจ้าฟ้าอัทธวรปัญโญเป็นเจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 57 และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ซ่อมสร้างเมืองน่านหลังจากที่ถูกทิ้งร้างนาน 23 ปี นับแต่นั้นมาเมืองน่าน จึงมีฐานะเป็นเมืองประเทศราชของกรุงรัตนโกสินทร์
![]() |
กำแพงเมืองน่านในสมัยรัชกาลที่ 5 |
จากนั้นเมืองน่านก็มีการย้ายเมืองอีก 2 ครั้งเนื่องจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งแรกในพ.ศ. 2360 สมัยของเจ้าสุมนเทวราช ได้ย้ายเมืองไปอยู่บริเวณดงพระเนตรช้างมีวัดสถารศเป็นวัดหลวงประจำเวียงเหนือ
พ.ศ. 2398 "เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ" กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อย้ายเมืองจากดงพระเนตรช้างกลับมาอยู่ที่เวียงเก่า (ตัวเมืองน่านปัจจุบัน) แล้วโปรดให้ซ่อมสร้างเวียงเก่า โดยให้สร้างคุ้มแก้ว 7 หลัง เป็นที่ประทับ และสร้าง “หอคำ” เป็นท้องพระโรงออกว่าราชการ เมื่อถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯสถาปนา "พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ" ขึ้นเป็นพระเจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 63 นับเป็นเจ้านครน่านองค์เดียวที่ได้รับการสถาปนาเป็น “พระเจ้า”
ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.nan.go.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น